SELF-LEADERSHIP - พัฒนาความเป็นผู้นำในตัวเอง

โปรแกรมเพื่อช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ค้นพบ ความเป็นผู้นำภายในตัวเอง (Self-Leadership) ให้พวกเขาได้ค้นพบคุณค่า จุดแข็ง รวมไปถึงความตั้งใจสำคัญที่จะเป็นเป้าหมายในการทำงานในอนาคต ในโปรแกรมนี้ จุดเน้นในการเรียนรู้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ หนึ่ง การฝึกฝนพัฒนา mindset และทักษะสำคัญในการ “นำตนเอง” ทั้งความตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness) การมีกรอบคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) ทักษะในการฟื้นคืน (Resilience) และการตั้งเป้าหมายที่มาจากแรงบันดาลใจ (Inspiring Goal Setting) และส่วนที่สอง คือแนวปฏิบัติที่ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ได้ในบริบทต่างๆ ของการทำงานองค์กร เช่น การสร้างข้อเสนอ การรับฟังความเห็นต่าง การคิดใคร่ครวญเพื่อตัดสินใจ เป็นต้น

 

ส่วนที่ 1 – สิ่งที่เราจะฝึกฝนกันในประสบการณ์ 3 วัน เราทำอะไรบ้าง

โปรแกรมนี้จะฝึกฝนทั้งหมด 3 วัน แบบเจอตัว และติดตามผลทาง Zoom อีก 1 ครั้ง

โดยการฝึกฝนทั้ง 3 วัน แบ่งเป็น

 

วันที่ 1 : Experiential Learning สัมผัสประสบการณ์การเรียนรู้ของหลักสูตร Original

เป็นการสัมผัสประสบการณ์จริงของคลาส Beyond Performance by CFR (Conversation-Feedback-Recognition)  ในฉบับ 1 วัน โดยจะเรียนไป ถอดบทเรียน ไปในแต่ละช่วง เพื่อให้สัมผัสประสบการณ์ทั้งในมุมของการเป็นผู้เข้าร่วม และได้เข้าใจรายละเอียดในมุมของการทำหน้าที่ Facilitator

 

เบรค 1 : Connect with Self  

เรียนรู้ เข้าใจความเป็นผู้นำในตัวเองและผู้อื่น ผ่านกระบวนการผู้นำสี่ทิศ และ Iceberg Model เพื่อเรียนรู้บุคลิกลักษณะ ความเชื่อ ค่านิยม รวมถึงที่มาในแบบแผนชีวิตที่มีผลต่อ การหล่อหลอมตัวตนของผู้เรียนแต่ละคน

กิจกรรมที่เป็นไปได้ในการฝึกฝนร่วมกัน (Possible Activities)

  • ฉันคือใคร (ทบทวน สืบค้นความเป็นตัวเรา)
  • ผู้นำสี่ทิศ (ผู้นำในแบบฉัน)

 

เบรค 2 : Inner Treasure

ทำความเข้าใจตัวเองต่อเนื่องในเชิงลึกผ่านการสำรวจที่มาของความเป็นเรา การมองเห็นตัวเองอย่างรอบด้าน และการชื่นชมที่สร้างพลังโดยเริ่มต้นจากตนเอง

กิจกรรมที่เป็นไปได้ในการฝึกฝนร่วมกัน (Possible Activities)

  • Inner Drive
  • สายธารของชีวิต Life Journey

 

เบรค 3 : Connect with Other

ขยับการเรียนรู้สู่การหาแนวทางในการสื่อสาร ทำงานร่วมกับผู้อื่น ผ่านชุดคำถาม connect with others และการฝึกฝนทักษะในการสะท้อน

กิจกรรมที่เป็นไปได้ในการฝึกฝนร่วมกัน (Possible Activities)

  • “หลอมรวมความต่าง สู่ความร่วมมือ”
  • Co-Creation Space

 

เบรค 4 : Inspired Goals Setting

ทำงานต่อกับเป้าหมาย สู่การสร้างภาพปลายทางให้ชัดเจน และสิ่งที่อยากเห็นในการลงมือทำจริง  เปิดพื้นที่รับฟัง กับกิจกรรมที่เชิญชวนให้สมาชิกได้บอกเล่าถึงความตั้งใจ เป้าหมายที่ตั้งไว้ พร้อมรับฟังมุมมอง ข้อเสนอแนะ และกำลังใจจากเพื่อน

กิจกรรมที่เป็นไปได้ในการฝึกฝนร่วมกัน (Possible Activities)

  • Intention Space พื้นที่สร้างฝัน
  • Vision of Success

 

วันที่ 2 และ 3 : Facilitation Lab  

ทดลองการปฏิบัติจริงในการนำกระบวนการเรียนรู้ โดย จะแบ่งเป็น 3 ช่วง

ช่วงที่ 1 – Facilitation Technique (2 ชม.)  เรียนรู้ และติวอย่างเข้มข้น ถึงศิลปะการนำกระบวนการเรียนรู้ที่สร้างการมีส่วนร่วม และการออกแบบประสบการณ์ 

ช่วงที่ 2 – Facilitation Design ( 1 ชั่วโมง)  ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ หรือ ประยุกต์สิ่งที่สนใจเข้ากับงานจริง โดยจะให้แต่ละองค์กรได้ลองนำกระบวนการเรียนรู้ องค์กรละ 1 เบรก

ช่วงที่ 3 – Facilitation Playwork (1.5 วัน) ให้แต่ละองค์กรนำกระบวนการจริง โดยมีให้เพื่อนสมาชิกและทีมพี่เลี้ยง เข้าร่วม ทีมละ 1.5 ชั่วโมง พร้อมรับคำแนะนำ และฟีดแบ็กเพิ่มเติม

 

หลังจบกิจกรรม 3 วัน เราจะมีการติดตามผลอีก 1 ครั้ง (ทุกคนสามารถสอบถาม ปรึกษา ทีมพี่เลี้ยงได้เป็นระยะ) ผ่านทาง Zoom Meeting โดยจะกลับมาเจอกันหลังเว้นไป 1 เดือน

  


 

ส่วนที่ 2 –โครงสร้างของหลักสูตรที่เราฝึกฝนเพื่อนำไปใช้ในการสอน หรือสร้างกระบวนการเรียนรู้ในองค์กร (Course Outline)

 

“ มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่ถูกมอบให้เฉพาะตน มีเพียงเราเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้

เราจะสามารถสร้างสรรค์ นำชีวิต นำการงานได้อย่างมั่นคง เมื่อเราเริ่มได้เห็นว่าเรามีอะไรที่นำได้ ”

 

หลักการ เหตุผล และความเชื่อเบื้องหลัง ของโปรแกรม (Principle and Reason)

คุณเคยเจอเรื่องราวแบบนี้บ้างไหม  ......ทำไมผู้นำบางคนที่เราอยู่ใกล้เขา แค่เขาเดินเข้ามา มานั่งหรือมายืนใกล้ๆ เรากลับรู้สึกอุ่นใจ มั่นใจและค่อยๆ กล้า รู้สึกได้เป็นตัวของตัวเอง  แต่กับผู้นำบางคน พอเขาเข้ามาอยู่ใกล้ กลับทำให้เรารู้สึกหวั่นไหว ไม่กล้า ไม่อยากพูด ไม่อยากคิดอะไรต่อ

มีศึกษาเกี่ยวกับ ภาวะ หรือ ความเป็นผู้นำ (Leadership) ซึ่งพบว่า ภาวะผู้นำ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากบทบาท ตำแหน่ง (Position / Title) แต่เป็นสิ่งที่เราทุกคนมีสิ่งนี้อยู่ในตัวเอง แต่เราไม่ค่อยได้มีโอกาสสัมผัสและเรียนรู้กับความเป็นผู้นำ หรือ ศักยภาพนี้ที่ซ่อนอยู่  การที่เราจะนำและได้รับความเชื่อมั่นจากทีม ไม่ได้เกิดจากการที่เรามีอำนาจที่เหนือกว่า แต่กลับเรียบง่ายกว่านั้น เพียงแค่เราได้นำความเข้าใจ และความเชื่อมั่นมาสู่สมาชิกในทีม  กล่าวคือ ผู้นำที่ยอดเยี่ยม จะใช้ความรัก ความไว้วางใจ ความเชื่อมั่น มาดูแลทีม ให้พวกเขาค่อยๆ มีความเชื่อมั่นและกล้าที่จะคิด กล้าจะพูด กล้าที่จะเรียนรู้ กล้าที่จะลองทำ และกล้าที่จะตัดสินใจ   ดังที่คำกล่าวว่า “ผู้นำที่ดี ต้องช่วยสร้างผู้นำ“เขาจะช่วยสร้างทีมแห่งผู้นำ ที่เปิดพื้นที่ให้สมาชิกทุกคนได้นำความเป็นผู้นำหรือศักยภาพของตน ออกมาขับเคลื่อน พัฒนาทีมได้ด้วยกัน

จุดเริ่มต้นของการเข้าถึงความเป็นผู้นำในตัวเราเอง เริ่มจากการเรียนรู้ตัวเอง (Self-Learning) เราแต่ละคนล้วนมีสไตล์ความเป็นผู้นำที่แตกต่างกัน  การที่เราได้เริ่มต้นกลับมาถามตัวเองว่า “เราคือใคร”  เราเป็นคนแบบไหน เรามีความเชื่อและคุณค่ากับอะไร เรามีจุดแข็ง เรามีดีอะไร รวมถึงจุดที่เรายังพัฒนาต่อไปได้  ทั้งหมด คือการเริ่มต้นในการเข้าถึงความเป็นผู้นำในตัวเราเอง เราจะเริ่มเห็นว่ากว่าที่มาเป็นเราในวันนี้ เราได้ผ่านชีวิต บททดสอบ และเราได้ทำอะไรไปบ้าง นี่คือ การเรียนรู้ เข้าใจชีวิตของคนๆหนึ่ง ซึ่งสมาชิกทุกคนของเราก็ผ่านเส้นทางชีวิตของเขามาเช่นกัน

หลักสูตร SELF-LEADERSHIP-Incubating Leadership Mindset and Being หรือ “ผู้นำในฉบับตัวฉัน” เป็นสถานีการเรียนรู้แรกที่จะพาผู้เรียนทุกคน ได้กลับมาเชื่อมโยงกับความเป็นผู้นำในตัวเองด้วยหลักความรู้ของผู้นำสี่ทิศ ภูมิปัญญาเก่าแก่ของอินเดีย และได้สำรวจความเข้าใจในมนุษย์ที่ลึกกว่าที่เราเคยรู้จักผ่านทฤษฎีภูเขาน้ำแข็ง เพื่อให้เห็นสิ่งที่อยู่เบื้องพฤติกรรม ตัวตนของทั้งตัวเราและผู้อื่น  พร้อมทั้งสร้างประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้เห็นถึงบทบาทของหัวหน้าทีม ที่จะครองใจทีม และสร้างผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม ให้ทุกคนได้สร้างโมเดลของการเป็นผู้นำในฉบับของตัวเองที่ช่วยเกื้อกูล ส่งเสริมทีม

 

แกนสำคัญของ กระบวนการเรียนรู้ ที่ใช้ในโปรแกรมนี้

โปรแกรมหลักสูตร ความเป็นผู้นำภายในตัวเอง (Self-Leadership) จะเน้นมากกับการติดตั้ง 4 Step of Self-Evolution เข้าไปในตัวผู้เรียน ซึ่งประกอบด้วย 1)เชื่อมโยงกับรู้จักกับตัวเอง (Connect with Selves) เราได้รู้จัก เข้าใจ มองเห็นตัวเอง เรียนรู้ตัวเองได้อย่างมีคุณภาพ 2) เชื่อมโยงกับผู้อื่น/กลุ่ม (Connect with Other) สามารถเปิดใจ เปิดเผย เชื่อมโยง เรียนรู้ผู้อื่นได้ ทำงานร่วมกันได้อย่างสร้างสรรค์ 3) เชื่อมโยงกับเป้าหมายที่สร้างแรงบันดาลใจของเราและทีม (Connect with Inner Sources) สามารถมองเห็น รับรู้ เชื่อมโยงกับความตั้งใจที่แท้จริงจากภายใน(ใจ) หรือ “Why” ของงานเรา (ในงานขั้นนี้ เราเรียกกันว่าเป็นการเชื่อมโยงกับ Invisible Leader หรือ ผู้นำทางระดับความหมาย) และ 4) เชื่อมโยงกับกระแสการเปลี่ยนแปลงและสิ่งใหม่ที่เราไม่รู้แน่ชัดในโลก (Connect with Emerging World) เป็นการทำงานกับการเรียนรู้และปรับตัว ยืดหยุ่นกับสถานการณ์ต่างๆ  ซึ่งหลักสูตรนี้จะเน้นมากใน Step 1 และ 2   เราเชื่อว่า เมื่อสามารถชิกแต่ละคนเริ่มรู้จัก เชื่อมั่นในตัวเอง และเริ่มเชื่อมต่อกับผู้อื่นอย่างเปิดใจ พวกเขาจะค่อยๆพบภารกิจสำคัญและประสบการณ์ที่ทำให้เขาเรียนรู้และเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

 

วัตถุประสงค์หลักของโปรแกรมนี้ (Key Objectives)
  1. บ่มเพาะความเข้าใจและการตระหนักถึงบทบาทสำคัญของ หัวหน้าทีม (Supervisor’s roles) ที่ขยับจากผู้บังคับบัญชา มาสู่ การเป็น”ผู้รับใช้” (Servant Leader) ที่ช่วยสนับสนุนให้สมาชิกของทีมจัดการตัวเองและเกิดการทำงานด้วยความร่วมมือ
  2. ให้ผู้เรียนได้สัมผัสและเข้าถึงความเป็นผู้นำในตัวเอง (Self-Leadership) ให้พวกเขาได้เห็นสไตล์ ศักยภาพของตัวเอง พร้อมทั้งมีแบบจำลองของความเป็นผู้นำฉบับของตัวเองในใจ เพื่อใช้นำทางทีมงานต่อไป
  3. ได้เรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของมนุษย์ในเชิงลึก (People Insight) ด้วยหลักจิตวิทยาบุคลิกภาพ เพื่อนำไปใช้สื่อสารและดูแลสมาชิกในทีม ที่ส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมของทีมที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น
  4. ตระหนักรู้ในกลไกปกป้องตัวเอง หรือ ภาวะที่ตนเองรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่เป็นตัวของตัวเอง และสามารถนำความเข้าใจในเรื่อง การสร้างความปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological Safety)  ไปปรับใช้ในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยและบรรยากาศการทำงานที่สร้างสรรค์ได้

 

ประเด็นการเรียนรู้หลักของโปรแกรมนี้ (Key Learning Contents)

ในหลักสูตรนี้เราจะเน้น 3  ส่วนสำคัญ คือ  ส่วนแรก คือ การสร้างการตระหนักรู้ในบทบาทของหัวหน้าทีม (Supervisor) ในโลกยุคใหม่  ส่วนที่ 2 เน้นการบ่มเพาะและสร้างความเข้าใจในเรื่องของมนุษย์เชิงลึก ผ่านองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา ทั้งผู้นำสี่ทิศ และจิตวิทยาการเข้าใจคน  ให้ผู้เรียนทุกคนได้เชื่อมต่อกับความเป็นผู้นำในตนเองและเรียนรู้ความแตกต่าง หลากหลายด้วยความเข้าใจ  และส่วนสุดท้าย คือ การตระหนักและเข้าใจถึงความปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological Safety) ซึ่งมีผลต่อความมั่นใจ ความกล้าที่ทุกคนจะแสดงความเป็นผู้นำออกมา

  • กระบวนทัศน์ใหม่ของการนำทีม ที่เน้นการสร้างความมีส่วนร่วมที่สมบูรณ์ (New Management Paradigm for Leading Team)
  • บทบาทสำคัญของการเป็นหัวหน้าทีมที่เป็น “ผู้นำผู้รับใช้” (Supervisor’s Roles & Servant Leadership)
  • เข้าใจความเป็นผู้นำในตนเอง และความแตกต่างของคนที่หลากหลาย ด้วยแนวคิด ของผู้นำสี่ทิศ (เรียนรู้ที่มา และกรอบความเชื่อ คุณค่า ความคาดหวัง และความแตกต่างของคนแต่ละทิศ)
  • สำรวจและเข้าใจมนุษย์ในเชิงลึก ด้วย Iceberg Model และ อาหารใจ 10 หมู่ เพื่อ เรียนรู้สิ่งที่อยู่เบื้องลึก พฤติกรรม บุคลิกษณะที่มองเห็นจากภายนอก
  • แนวทางการสื่อสารและการดูแลกัน ทำงานร่วมกันบนความแตกต่างหลากหลาย
  • ช่องทางการสื่อสารที่มีผลต่อการรับรู้ (สีหน้า ท่าทาง , น้ำเสียง และถ้อยคำ)
  • ทักษะที่สำคัญในการสื่อสารและสร้างทีมแห่งความร่วมมือสำหรับผู้น า (Essential Skills for Communication and Collaboration)
  • 4-4-4 CODE FOR EMPATHIC LISTENING หลักปฏิบัติในการรับฟังที่มีคุณภาพ และการสื่อสารด้วยความเข้าใจ (Emphatic Communication)
  • 6 ช่องทางการชื่นชม (Recognition)
  • สำรวจคุณภาพของการเรียนรู้เติบโตทั้งของตนเองและทีม เพื่อนำไปสู่การตั้งเป้าหมายในอนาคต
  • กระบวนการสร้างเป้าหมายที่ทุกคนรู้สึก “อิน” และมีส่วนร่วมจริงๆ จาก Inner Drive แรงขับภายใน

 

ทักษะที่ฝึกฝน (Skills Development)

  • ความเข้าใจในบทบาทของการเป็นหัวหน้าทีม ( Supervisory Awareness)
  • การเข้าใจคนเชิงลึกและเรียนรู้ความแตกต่าง หลากหลาย (People Insight)
  • ความเป็นผู้น าในสไตล์ของเราเอง (Self-Leadership)
  • ทักษะการฟังด้วยความเข้าใจ แบบ Empathic Listening
  • ทักษะการคิดใคร่ครวญและเรียนรู้เชิงลึก (Reflection Skills)
  • ทักษะการคิดอย่างรอบด้านเพื่อส่งเสริมการตั้งเป้าหมายที่มาจากแรงบันดาลใจ (Inspiring Goals)
 
 

 

 

 

Visitors: 171,057